ถกปัญหา ค้นทางออก หนุ่มวัย 46 ร้องเรียน เมียแอบขายบ้าน-กิจการ จนกลายเป็นคนเร่ร่อน นอนตามปั๊มน้ำมัน
เปิดปากกับภาคภูมิ ถกหาทางออก ปมปัญหาหนุ่มวัย 46 ปี ร้องเรียนไปยังเพจดัง เรื่องที่เมียแอบขายบ้าน ขายกิจการ จนหมดตัว ต้องกลับกลายเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้านที่อยู่อาศัย ไม่สามารถเข้าบ้านตัวเองได้
ถกหาทางออก หนุ่มวัย 46 ร้องเรียน เมียแอบขายบ้าน ขายกิจการ จนเป็นคนเร่ร่อน เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 13 มีนาคม 2566 ในรายการ "เปิดปากกับภาคภูมิ"
ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับ นายสัญญา ลาวิลาช อายุ 46 ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้นำเอกสาร พยานหลักฐาน เข้ามาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด โดยอ้างว่า ภรรยาแอบขายบ้านพร้อมกิจการลานมันที่มีอยู่ ทำให้ปัจจุบันต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน ไร้บ้านที่อยู่อาศัย ปัจจุบันต้องนอนตามปั๊มน้ำมัน ขณะที่เจ้าของใหม่ที่เข้ามาซื้อ อ้างว่า ซื้อกิจการมาอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ นายสัญญา ผู้ร้องเรียน เปิดเผยว่า หลังจากเข้าร้องเรียน ขณะนี้ยังไม่สามารถเข้าบ้านตัวเองได้ เพราะคนที่มาซื้อต่อยังไม่ย้ายออก และยังไม่สามารถติดต่ออดีตภรรยาได้เลย โดยก่อนหน้านี้ ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยมีแฟนมาก่อน เพราะบวชเรียนมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เป็นเวลาประมาณ 14 ปี หลังจากนั้นก็ทำงาน จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้รู้จักกับ เจ๊อ้อ ที่ประกอบกิจการลานมันเหมือนกัน แต่ธุรกิจของ เจ๊อ้อ มีปัญหาจึงมาขอความช่วยเหลือ มาพูดคุยปรับทุกข์ให้ตนฟัง ทำให้ได้มีโอกาสพูดคุยและคบหากัน และอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาเรื่อยมา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยไว้เนื้อเชื่อใจให้ เจ๊อ้อ เป็นคนดูแลกิจการลานมัน ส่วนตนไปขับรถทัวร์ไม่ค่อยได้กลับบ้าน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2566 ตนกลับจากการขับรถทัวร์มาถึงบ้าน ก็พบว่ามีคนแปลกหน้ามานั่งอยู่ในบ้านของตน สอบถามทราบว่า เขาได้ซื้อกิจการต่อจาก เจ๊อ้อ 1.2 ล้านบาท ตนจึงขอดูเอกสารซื้อขาย และไม่สามารถเข้าบ้านตัวเองที่เคยอยู่ได้ จึงต้องไปอาศัยนอนที่ปั๊มน้ำมันแทน เพราะที่ อ.ศรีเมืองใหม่ ตนไม่มีญาติแม้แต่คนเดียว ระหว่างนั้นก็พยายามติดต่อหา เจ๊อ้อ อดีตภรรยา เขาก็บอกว่าเขามีความจำเป็น และวันที่เกิดเรื่องตอนแรกตนจะไปแจ้งความ แต่ตำรวจลงเป็นบันทึกประจำวันไว้ในส่วนของหนังสือการมอบอำนาจให้กับ เจ๊อ้อ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 และเอกสารอีกฉบับเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายระหว่าง เจ๊อ้อ ที่ได้ซื้อกิจการลานมันของ นายสัญญา ในราคา 1 ล้านบาท ซึ่งเอกสารทั้ง 2 ฉบับนั้น นายสัญญา ได้ยืนยันว่า ไม่ไม่การรู้เรื่องนี้มาก่อน ในส่วนของหนังสือมอบอำนาจ ก่อนหน้านี้เป็นการเซ็นชื่อลอยๆ ที่ตนใช้ในการประกอบกิจการรถ เพื่อให้คนขับรถใช้ในการขับรถข้ามแดนแต่ไม่ได้ลงรายละเอียด นายเอกภพ เปิดเผยว่า หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน ตนได้ขอดูเอกสารทั้งหมด และพบข้อพิรุธคือ เอกสารทั้ง 2 ฉบับที่เกิดขึ้น ลายมือชื่อของพี่สัญญานั้นไม่ตรงกัน ตนจึงถามเรื่องหนังสือมอบอำนาจ ทราบว่า พี่สัญญาเขามีรถทัวร์ แล้วเวลาจะข้ามไปฝั่งลาวจะต้องมีหนังสืออำนาจจากเจ้าของรถ พี่สัญญาจึงได้ทำเอาไว้ เพื่อให้คนขับรถทัวร์ใช้ข้ามแดน แต่ไม่ได้ให้ เจ๊อ้อ ซึ่งไม่รู้ว่ากลายเป็นเอกสารแบบนี้ได้อย่างไร ซึ่งพี่สัญญาเองก็บอกว่า เอกสารทั้ง 2 ฉบับนั้นปลอมทั้งคู่มีการทำขึ้นมาและตนมองว่าในเมื่อ พี่สัญญา ยืนยันว่าไม่ได้ขาย ย่อมมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในบ้าน ส่วนคนที่มาใหม่ต้องไปไล่บี้กับผู้หญิงที่ขายให้ และที่สำคัญคือ พี่สัญญาใช้เงินสร้างลานมันนั้นเป็นจำนวนเงินประมาณ 5 ล้านกว่าบาท แต่อดีตภรรยาขายไปในราคา 1.2 ล้าน ดังนั้นต้องมาย้อนถามว่า เป็นการซื้อขายโดยบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ และฝากถึง เจ๊อ้อ ว่า แนะนำให้เอาเงินมาคืนผู้ซื้อใหม่ด้าน ทนายณัชชามณฑ์ ณัฏฐะพิชาญ์ หรือ ทนายนุ๊ก เปิดเผยว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้ฟังมา ประเด็นแรกเรื่องที่ดินครอบครอง เรียกว่า ที่ดิน ภ.บ.ท.5 คือที่ดินครอบครองเพื่อทำประโยชน์อย่างเดียว ตามกฎหมายไม่สามารถซื้อขายได้ แต่สามารถมอบสิทธิ์การครอบครองได้ ดังนั้น จึงถือว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้เป็นโมฆะตั้งแต่แรก เพราะกฎหมายไม่ได้คุ้มครอง คนซื้อใหม่ไม่มีสิทธิ์เข้ามาอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ คุณสัญญาสามารถกลับไปอยู่ที่ตัวเองได้เหมือนเดิม อีกประเด็นคือ อดีตภรรยาเป็นบุคคลล้มละลาย ไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้ด้วยตนเองนายเติม มั่นสัตย์ เพื่อนของผู้ร้องเรียน ยืนยันว่า ตนขับรถมา 15 ปี เวลาขับรถไปต่างประเทศ เพื่อนก็จะเซ็นหนังสือไว้ให้ รู้สึกสงสารเพื่อน เพราะเพื่อนเป็นคนซื่ออย่างไรก็ตาม นายเอกภพ กล่าวอีกว่า ในพรุ่งนี้ (14 มีนาคม 2566) เวลาประมาณ 08.30 น. จะมีการประสานทางยุติธรรมจังหวัด ผู้กำกับ สภ.ศรีเมืองใหม่ นายอำเภอ และพี่สัญญา จะนัดพูดคุยกันในเรื่องนี้ ซึ่งเจ้าของบ้านจะต้องได้เข้าไปอยู่บ้านที่เขาเป็นเจ้าของ.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น